
ความรู้สึกที่มีต่อถิ่นที่บนพื้นที่แบบไม่เป็นทางการ : กรณีศึกษา ตลาดร่มหุบ จังหวัดสมุทรสงคราม
ชื่อวารสารวิชาการ: วารสารสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย
ผู้วิจัย: ดร.ชิตพล โปตะวัฒน์
คณะนักวิจัย: ผศ.ดร.สรนาถ สินอุไรพันธ์
วันที่: 01/2567
เมื่อพูดถึง “ตลาดร่มหุบ” จังหวัดสมุทรสงคราม ภาพของตลาดที่ตั้งอยู่ริมรางรถไฟ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าต้องคอยหุบและกางร่มหรือกันสาดเพื่อหลบขบวนรถไฟที่แล่นผ่าน กลายเป็นภาพจำที่แปลกตาและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แต่เบื้องหลังความตื่นตานั้น ตลาดแห่งนี้ยังเป็นตัวอย่างสำคัญของ “พื้นที่แบบไม่เป็นทางการ” ที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้คนและสถาปัตยกรรมในบริบทเมืองไทย
งานวิจัยนี้พร้อมพาไปทำความเข้าใจ “ความรู้สึกที่มีต่อถิ่นที่” หรือ Sense of Place ในพื้นที่แบบไม่เป็นทางการ โดยใช้กรณีศึกษาตลาดร่มหุบ ผ่านกรอบแนวคิดทางสถาปัตยกรรม จิตวิทยาสิ่งแวดล้อม และการวิจัยเชิงคุณภาพ-ปริมาณ
ความหมายของ “พื้นที่แบบไม่เป็นทางการ” และ “ถิ่นที่”
พื้นที่แบบไม่เป็นทางการ (Informal Space)
พื้นที่แบบไม่เป็นทางการ คือ พื้นที่ที่เกิดขึ้นจากการยึดครอง ต่อรอง หรือปรับใช้พื้นที่สาธารณะโดยผู้คน เพื่อการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ โดยไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมหรือจัดสรรอย่างเป็นทางการของรัฐ เช่น ตลาดริมถนน แผงลอย หรือแม้แต่ตลาดร่มหุบที่ตั้งอยู่ริมรางรถไฟ
พื้นที่เหล่านี้มักมีลักษณะชั่วคราว ยืดหยุ่น และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับกิจกรรม เวลา และความต้องการของผู้ใช้พื้นที่
ถิ่นที่ (Place) และความรู้สึกที่มีต่อถิ่นที่ (Sense of Place)
“ถิ่นที่” คือ พื้นที่ที่ได้รับความหมายเฉพาะจากกิจกรรม ประสบการณ์ และความสัมพันธ์ของผู้คนกับพื้นที่นั้น จนเกิดเป็นอัตลักษณ์และคุณค่าเฉพาะตัว
“ความรู้สึกที่มีต่อถิ่นที่” หรือ Sense of Place คือ ความสัมพันธ์ทางอารมณ์และจิตวิทยาระหว่างผู้คนกับสถานที่ ประกอบด้วย 4 มิติหลัก ได้แก่
- ความผูกพันต่อถิ่นที่ (Place Attachment): ความรัก ความห่วงใย ความรู้สึกเป็นเจ้าของ
- อัตลักษณ์ต่อถิ่นที่ (Place Identity): การรับรู้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่
- การพึ่งพาต่อถิ่นที่ (Place Dependence): การรู้สึกว่าถิ่นที่นั้นตอบสนองความต้องการของตนได้ดีที่สุด
- ความพึงพอใจต่อถิ่นที่ (Place Satisfaction): ระดับความพึงพอใจในการใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมในพื้นที่นั้น
ตลาดร่มหุบ: พื้นที่สองความหมายที่มีชีวิต
ตลาดร่มหุบเป็นตัวอย่างพื้นที่สาธารณะที่ถูก “ยึดครอง” เพื่อค้าขายริมทางรถไฟ พื้นที่นี้จึงมีลักษณะทับซ้อนระหว่าง “ตลาด” กับ “ทางรถไฟ” เกิดเป็นพื้นที่สองความหมายในเวลาเดียวกัน
จุดเด่นของตลาดร่มหุบ คือ การที่ผู้ค้าต้องหุบและกางร่มหรือกันสาดวันละ 8 ครั้ง เพื่อหลบขบวนรถไฟที่แล่นผ่าน นำไปสู่การสร้าง “สถาปัตยกรรมนอกระบบ” (Other Architecture) ที่มีพลวัต ปรับเปลี่ยนได้เสมอ และสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของผู้คนในการอยู่ร่วมกับข้อจำกัดของพื้นที่
กระบวนการวิจัยและกรอบแนวคิด
การศึกษานี้ใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (การสังเกต การสัมภาษณ์) และเชิงปริมาณ (แบบสอบถาม) เพื่อวิเคราะห์ความรู้สึกและความพึงพอใจของผู้ใช้พื้นที่ตลาดร่มหุบ
การวิเคราะห์อาศัยกรอบแนวคิดเรื่อง “ถิ่นที่” (Place) และ “ความรู้สึกที่มีต่อถิ่นที่” (Sense of Place) โดยเน้นการพิจารณา 4 มิติหลักที่กล่าวไปข้างต้น
ผลการวิจัย
1. ผู้ใช้พื้นที่ตลาดร่มหุบมีความรู้สึกต่อความเป็นถิ่นที่ในระดับสูง
จากการเก็บข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพ (การสังเกตและสัมภาษณ์) และเชิงปริมาณ (แบบสอบถาม) พบว่า ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและผู้มาเยือนตลาดร่มหุบ ต่างมีความผูกพันและรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนี้อย่างชัดเจน แม้ตลาดจะเป็น “พื้นที่แบบไม่เป็นทางการ” ที่ต้องปรับตัวอยู่เสมอ เช่น การหุบและกางร่มเพื่อหลบรถไฟที่วิ่งผ่านหลายครั้งต่อวัน
2. สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่แบบไม่เป็นทางการ
รูปแบบการหุบและกางร่มของร้านค้าตามเวลารถไฟ เป็นตัวอย่างของ “สถาปัตยกรรมแบบไม่เป็นทางการหรือสถาปัตยกรรมนอกระบบ” ที่เกิดจากการปรับตัวและต่อรองกับข้อจำกัดของพื้นที่ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวให้กับตลาดร่มหุบ
3. ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Sense of Place
งานวิจัยได้วิเคราะห์ผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่
- ความผูกพันต่อถิ่นที่ (Place Attachment): ผู้ใช้พื้นที่มีความรักและห่วงใยต่อพื้นที่
- อัตลักษณ์ถิ่นที่ (Place Identity): ตลาดร่มหุบมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและเป็นที่จดจำ
- ความพึงพอใจต่อถิ่นที่ (Place Satisfaction): แม้จะมีข้อจำกัดและความไม่แน่นอน ผู้ใช้พื้นที่ยังคงมีความพึงพอใจในการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมในตลาด
- การพึ่งพาถิ่นที่ (Place Dependence): ตลาดร่มหุบตอบโจทย์ความต้องการและการดำรงชีพของผู้ใช้พื้นที่ได้ดี
4. ผลลัพธ์เชิงสังคมและการออกแบบเมือง
พื้นที่แบบไม่เป็นทางการอย่างตลาดร่มหุบ สามารถสร้าง “Sense of Place” ที่เข้มแข็งได้ไม่น้อยไปกว่าพื้นที่ที่เป็นทางการ สถาปัตยกรรมและการใช้พื้นที่ที่เกิดจากการปรับตัวร่วมกันของคนและบริบท งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การเข้าใจและให้คุณค่ากับสถาปัตยกรรมนอกระบบ